วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

เส้นทางที่โคตรฟิน ขุนยวม แม่แจ่ม ทางหลวงหมายเลข 1263

ไร่กะหล่ำปลีของชาวม้งปางอุ๋ง




วิวข้างทาง ถนนเส้น 1263



ดอกบัวตอง บานชูคอรับลมหนาว 




         ไม่มีงานเลี้ยงไหนไม่มีวันเลิกรา การท่องเที่ยวของผมก็เช่นกัน หลังจากเที่ยวเตร่ชมเมืองสามหมอกอยู่สองสามวัน ก็ถึงเวลาที่ต้องออกเดินทางกลับ โดยวันนี้ตั้งใจใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 1263 ขุนยวม ปางอุ๋ง แม่แจ่ม ครับ

          เส้นทางนี้ สิ่งที่ต้องระลึกเสมอ ดังนี้ครับ
          1. สภาพรถต้องดี เพราะตลอดเส้นทาง 100-200 กิโลเมตรบนป่าบนเขานั้นเราจะไม่พบอู่ซ่อมรถใด ๆ ทั้งนั้น 
          2. คนขับต้องมีทักษะที่ดี และอย่าใจร้อน เพราะทางจะไม่กว้างมาก บางช่วงถนนขรุขระ และมีโค้ง มีความชันเยอะ
          3.เตรียมขนมไว้เยอะ ๆ จะได้กินชิล ๆ ระหว่างทาง
          และข้อนี้สำคัญที่สุด คือ 4. เตรียมแบตเตอรี่ เตรียมเมมกล้อง เตรียมแคปชั่นเก๋ ๆ ไว้ เพราะคุณจะได้รูปบรรยากาศสองข้างทางสวย ๆ แน่นอน 
          
          ตลอดสองข้างทาง มุ่งหน้าแม่แจ่ม สิ่งที่ผมได้เห็นคือ ทิวเขาน้อยใหญ่เขียวขจี บวกกับทุ่งนา ทุ่งดอกไม้ ไร่กะหล่ำปลี รวมไปถึงดอกบัวตองข้างทางที่บานชูคอส่งท้ายสายฝน ต้นลมหนาว ในช่วงที่เราผ่านบ้านม้งปางอุ๋งแม่แจ่ม 
          เส้นทางนี้นอกจากความสวยงามแล้วยังได้พบกับวิถีชาวบ้าน ที่ออกมาทำไร่ ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์อีกด้วย
และไม่ใช่แค่นี้นะครับ การกลับเชียงใหม่ในเส้นทางนี้ยังต้องผ่านอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์อีกด้วย แน่นอนว่าหลาย ๆ คนรู้อยู่แล้วว่าดอยอินทนนท์มีดีอะไรบ้าง ส่วนตัวผมเองเลือกแวะถ่ายรูปที่น้ำตกวชิรธาร น้ำตกที่ใหญ่ และสวยงามมาก ๆ แห่งหนึ่งของเชียงใหม่ ครับ 

iSSAMEe
17 พ.ย. 2563

วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

หมอกสามฤดู กองมูเสียดฟ้า








          อีกหนึ่ง destination ที่แบบว่าห้ามพลาด เมื่อมาถึงแม่ฮ่องสอนก็คือ วัดพระธาตุดอยกองมู ​ครับ ที่นี่เดิมชื่อว่าวัดปลายดอย ตั้งอยู่บนดอยกองมู​นั่นเองครับ ก็เป็นที่มาของชื่อวัดในปัจจุบัน โดยจุดเด่นของที่นี่คือ มีเจดีย์คู่ ที่เป็นศิลปะไทยใหญ่ แลพม่าตั้งอยู่บนยอดดอย 
          ไฮไลท์ของวัดพระธาตุดอยกองมูคือ มีความสวยงามจับใจทั้งช่วงเวลากลางวัน และกลางคืน โดยในตอนกลางวันนั้นแนะนำให้มาตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่ เพราะเราจะได้เห็นปุยเมฆ สายหมอก ที่เลื่อนลอยเหนือเมืองแม่ฮ่องสอน แต่หากเปลี่ยนมุมไปมองอยู่ด้านหลังก็จะเป็นเมฆหมอกลอยปกคลุมเหนือนภูเขาสูง น้อยใหญ่ อันเป็นสเน่ห์ของเมืองนี้ 
          ตกกลางคืน ถ้ามองลงไปด้านล่างเราจะเห็นแสงไฟระยิบระยับ ของบ้านเมือง ที่บ่งบอกว่า แม่ฮ่องสอนแม้จะเป็นเมืองเล็ก ๆ แต่ก็มีชีวิตชีวาไม่แพ้ใคร หันกลับมาที่เจดีย์ก็จะพบกับพระธาตุเจดีย์สีขาว ที่สะท้อนกับแสงไฟประดับประดาอย่างสวยงามมิรู้ลืม 

iSSAMEe
09 พ.ย. 2563
 

วันเสาร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

วัดสองจอง จองคำ จองกลาง จองความสุขที่สายตามองเห็นได้ เก็บไว้ในภาพจำว่า นี่คือ "แม่ฮ่องสอน"

มุมภาพที่ทำให้อยากไปแม่ฮ่องสอน 

          ก่อนอื่น บอกก่อนเลยว่า มุมถ่ายรูปด้านบนนี้ คือ รูปที่ทำให้ผมอยากไปแม่ฮ่องสอน โดยตั้งเป้าหมายว่า เราต้องมีรูปนี้จากกล้องของตัวเองให้ได้ นั่นจึงเป็นที่มาว่า ทำไมผมถึงอยากไปแม่ฮ่องสอนนักหนา ทั้งที่จริง ๆ แล้ว เป็นคนไม่ชอบนั่งรถแบบโค้งเยอะ ๆ เท่าไร เพราะเป็นคนอ้วกง่าย แต่ก็ไป และก็อ้วกจริง ๆ สำหรับการนั่งรถไปจังหวัดนี้ 
    





           มาเข้าเรื่องกันครับ สำหรับรูปภาพมุมที่ผมอยากไปนั้น จะอยู่ที่วัดจองคำ วัดจองกลาง วัดดังของเมืองแม่ฮ่องสอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัดจองคำนั้นเป็นวัดแรกของจังหวัดแม่ฮ่องสอนเลยนะครับ สร้างโดยพระยาสิงหนาทราชา เจ้าเมืองแม่ฮ่องสอน ซึ่งท่านเป็นชาวไทยใหญ่ ดังนั้นจึงเป็นที่มาของสถาปัตยกรรมของวัดนี้(รวมถึงวัดอื่น ๆ ที่แม่ฮ่องสอน) ที่จะแตกต่างจากวัดล้านนาทั่วไป 

          อีกวัดที่อยู่คู่กันคือวัดจองกลาง สองวัดนี้ไม่มีรั้วรอบขอบกันต่อกัน สามารถเดินไปมาหาสู่กันได้ โดยที่มาของชื่อวัดจองกลางนั้น มาจาก ที่ตั้ง ที่อยู่ระหว่างวัดจองคำ และวัดจองใหม่ จึงถูกเรียกว่าวัดจองคำ ซึ่งความสำคัญของวัดจองกลางคือ มีตุ๊กตาไม้แกะสลักแบบพม่าอยู่จำนวนมาก นักท่องเที่ยวสามารถไปเที่ยวชมได้นะครับ
          วัดทั้งสองแห่งนี้ มีความสวยงามทั้งกลางวันและกลางคืน หากพอมีเวลา ลองไปทั้งสองช่วงเวลานะครับ จะให้ความรู้สีกต่างกันพอสมควร แต่สำหรับสายกิน กลางคืน ต้องห้ามพลาดครับ เพราะจะมีถนนคนเดินรอบ ๆ บึงจองกลางหน้าวัดครับ ที่นี่จะมีขายทั้งอาหารพื้นเมือง อาหารอินเตอร์ทานง่ายพวก หมูปิ้ง ลูกชิ้นทอด เฟร้นซ์ฟรายด์​ 5555 มีบรรยากาศสวย ๆ มีโคมลอยที่ลอยลิ่วตามแรงลมและคำอธิษฐานของเจ้าของโคม 
          อ้อ ถ้าเป็นได้ ยังพอมีเงินเหลือ หรือไม่เดือดร้อนการเงินจนเกินไป จะแวะซื้อของสินค้าชาวบ้านหน่อยก็ดีครับ เช่นพวกสร้อยหินหยก เสื้อผ้าพื้นเมือง เสื้อยืด ของที่ระลึกต่าง ๆ พ่อค้าแม่ขายทุกคนใจดีครับ แต่ตอนนี้ก็ลำบากอยู่ เพราะเท่าที่ผมดู ตอนนี้ แม่ฮ่องสอนนักท่องเที่ยวน้อยมากครับ อะไรพอช่วยกันได้ เรามาช่วยกันนะครับ 

iSSAMEe
07 พ.ย.​ 2563

ซูตองเป้ สะพานแห่งศรัทธา






           ถ้าจะพูดถึงสะพานไม้ไผ่ ที่พาดผ่านกลางทุ่งนาเขียวขจีแล้ว สะพานไม้ซูตองเป้ นับเป็นสะพานแรก ๆ ที่หลายคนนึกถึงครับ คือจะเรียกได้ว่าเป็นแห่งแรก ๆ ที่ได้รับการโปรโมตก็ว่าได้ 
           ด้วยเพราะทัศนียภาพสวยงาม ทุ่งข้าวเขียวขจี ชูชอล้อลม สลับกับสีฟ้าขาวของท้องฟ้าเหนือจังหวัดแม่ฮ่องสอน นับเป็นภาพที่ต้องเก็บไว้ในความทรงจำอย่าได้ลืมเลือนเมื่อได้มาเยี่ยมเยือน 
           ใครที่มีโอกาสมาเที่ยวสะพานซูตองเป้ตั้งแต่เช้าตรู่ ยังจะมีโอกาสได้สัมผัสความสวยงามของวิถีชาวบ้าน อย่างการเดินบิณฑบาตรของพระสงฆ์อีกด้วย ซึ่งก็จะเป็นพระสงฆ์ของวัดที่อยู่ด้านใน 
           ลักษณะของสะพานก็จะเป็นสะพานไม้ไผ่ กว้างประมาณ สองเมตร ซึ่งเอาจริง ๆ ก็ไม่ค่อยแข็งแรงนัก ดังนั้นการไปเที่ยวชมสะพานนี้ผมไม่อยากให้โลดโผนปีนป่ายกันมากนัก และที่สำคัญไม่ควรลงไปด้านล่างสะพาน เพราะเป็นพิ้นที่ทำนาปลูกข้าวของชาวบ้านครับ รวมถึงการใช้พื้นที่ถ่ายรูป ควรรู้จักเผื่อแผ่นักท่องเที่ยวคนอื่นด้วยนะครับ ไม่ใช่จองพื้นที่แต่เพียงตัวเอง



ข้อมูลน่ารู้ : สะพานนี้ ถูกสร้างโดยการร่วมแรงร่วมใจของพระสงฆ์​ สามเณร และชาวบ้าน ที่ช่วยกันสร้างสะพานได้สำเร็จ โดยไม่ใช้งบประมาณของภาครัฐ ดังนั้นจึงถึงว่านี่คือ ถือเป็นสะพานแห่งศรัทธา คำว่า “ซูตองเป้” (Su-Tong-Pe) นั้นเป็นภาษาไทยใหญ่ แปลว่า อธิษฐานสำเร็จ สะพานแห่งนี้จึงเป็นเหมือนตัวแทนแห่งคำอธิษฐานสำเร็จ


iSSAMEe
07 พ.ย. 2563

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

น้ำปลา น้ำตกผาเสื่อ






          เมื่อเราเสพบรรยากาศ​และอากาศหนาวที่ดอยกิ่วลมกันเป็นที่แล้ว ก็ออกเดินทางต่อมาตามเส้นทางมุ่งหน้าสู่ตัวเมืองแม่ฮ่องสอน เมื่อใกล้ ๆ ถึงตัวเมืองเราจะได้พบกับอุทยานแห่งชาติถ้ำปลา-น้ำตกผาเสื่อ ครับ
          เราเริ่มกันที่ถ้ำปลากันก่อน ที่นี่มีลักษณะเป็นแอ่งลำธารขนาดเล็ก ไหลลงมา เป็นที่อยู่อาศัยของปลาหลายชนิด แต่ที่โดดเด่นที่สุดจะเป็นปลาพลวง ที่ถือว่าเป็นกลุ่มปลาตระกูลเดียวกับปลาคาร์ฟ ซึ่งสิ่งที่ทำให้ที่นี่ดูแปลกตาออกไปก็คือ จะมีลักษณะของถ้ำ ที่มีน้ำไหลออกมาจำนวนมาก จึงทำให้ปลาเข้าไปอยู่อาศัย และเป็นที่มาของชื่อถ้ำปลาอีกด้วย 



           นอกจากถ้ำปลาแล้ว น้ำตกผาเสื่อก็เป็นอีกจุดเช็คอินที่เราควรอย่างยิ่งที่จะต้องไปเยี่ยมเยียน เพราะน้ำตกที่นี่ มีความสวยงามมาก ๆ ถ่ายรูปยังไงก็ไม่เท่าตาเห็นเอง (เพราะถ่ายรูปไม่เก่ง 555) 
          แม้ว่าน้ำตกผาเสื่อจะไม่สามารถเข้าไปเล่นน้ำได้ ทำได้แค่มองอยู่ห่าง ๆ แล้วถ่ายรูป แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้คะแนนความประทับใจน้อยลงไปเลยครับ เพราะน้ำตกที่ส่งเสียงซัดสาดอยู่กลางป่าเขา สีขาวละอองน้ำตัดกับความเขียวขจีของต้นไม้ สร้างความประทับใจให้แก่ผมอย่างมาก ทำให้ผมอยากกลับไปเที่ยวหาอีกครั้ง 
          การเดินทางก็ไม่ยากเลยครับ สะดวกสุด ๆ เส้นทางเดียวกับทางขึ้นบ้านรักษ์ไทยเลยครับ ใครไปแม่ฮ่องสอน ห้ามพลาดด้วยเหตุผลใด ๆ ทั้วปวงครับ

iSSAMEe
05 พ.ย.​ 2563

วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

บ๊ายบายเมืองปาย ทักทายแม่ฮ่องสอน




          หลังจากเราใช้เวลาในปาย 1 วัน ก็ได้เวลาเช็คเอ้าท์บอกลาเมืองปาย มุ่งหน้าสู่ตัวเมืองแม่ฮ่องสอนครับ ซึ่งก็กินระยะทางประมาณ​ 90-100 กิโลเมตร โดยตลอดระยะทางที่ว่านั้น เราได้เจอกับถนนหนทางที่สูงชันสลับซับซ้อน แถมด้วยโค้งพับไปพับมาตลอดเส้นทาง แต่อย่างไรก็ตามช่วงที่เราผ่านปางมะผ้า เราก็ได้เจอจุดชมวิวกิ่วลมด้วยความบังเอิญ​(คือจริง ๆ ที่นี่ไม่ได้อยู่ในกำหนดแวะครับ)​

          ที่นี่บรรยากาศสวยมากกกกก และหนาวพอตัวเลย อุณหภูมิราว ๆ 18 องศา ผมถึงกับต้องเอาเสื้อกันหนาวมาใส่ ในใจก็กระหยิ่มยิ้มย่องว่า เสื้อกันหนาวได้ใช้แล้วโว้ย 

          บรรยากาศที่มองด้วยตาเปล่า สวยกว่าในรูปร้อยล้านพันเท่า บวกกับสายลมโชยทำให้ผมไม่อยากออกจากจุดนี้ไปเลย แต่ก็ด้วยความจำเป็นที่ต้องทำเวลานันแหละครับ ผมจึงต้องออกเดินทางต่อ หากมีโอกาส ก็อยากแวะไปเที่ยวอีกแหละครับ


iSSAMEe

05 พ.ย. 2563

วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2563

วัดศรีดอนชัย อารามสถานอายุ กว่า 700 ปี คู่เมืองปาย และวัดพระธาตุแม่เย็น





          วัดศรีดอนชัย วัดเก่าแก่อายุกว่า 700 ปี ของเมืองปาย นอกจากความเงียบสงบแล้ว ที่นี่ยังมีความสวยงามมาก ๆ ใครที่มาปาย ควรอย่างยิ่งที่จะมาสักการะขอพระพุทธสิหิงส์ ส่วนตัวผมก็ถือว่ามีบุญนะครับ ไปถึงได้ติดเงินยอดกฐินด้วย พร้อมยังได้ความเมตตาจากหลวงพ่อ มอบพระองค์เล็ก ๆ มาอีก 2 องค์




          ออกมาจากปายนิดนึง สักสองกิโลเมตร จะเจอกับวัดพระธาตุแม่เย็น ที่นี่เป็นวัดเล็ก ๆ จุดเด่นคือพระพุทธรูปองค์ใหญ่สีขาว ประดิษฐานอยู่บนเขา ที่เราต้องเดินเท้าขึ้นบันไดไปสักการะ แล้วระหว่างเดินขึ้นถ้าเราหันหลังกลับมา เราจะเจอกับสุดยอดวิว ที่แบบว่า ไม่สามารถหาได้จากในเมืองใหญ่ เพราะมันคือพื้นดิน ผืนนา ท้องฟ้า และทิวเขา เหมือนในภาพจำของใครหลาย ๆ คนนั่นเอง 

iSSAMEe
28 ต.ค. 2563

หมู่บ้านจีนยูนนาน สันติชล









          ถ้าถามหาถึงแหล่งท่องเที่ยวในปาย ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นสุด ๆ เห็นจะไม่พ้นหมู่บ้านสันติชลครับ ที่นี่อยู่ใกล้ตัว อำเภอปายครับ เดินทางสะดวก 
          ในเขตหมู่บ้านสันติชล เราจะเห็นส่วนจัดแสดงที่เป็นหมู่บ้านจำลอง สไตล์จีนยูนนาน ซึ่งในบริเวณหมู่บ้านขจำลองนี่แหละ ที่จะเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวชอบมาถ่ายรูปกัน และก็จะมีร้านค้าขายของที่ระลึก รวมไปถึงร้านเช่าเสื้อผ้าสำหรับถ่ายรูปด้วย 
           ที่นี่บอกตรง ๆ ว่าบรรยากาศดีมาก อย่างวันที่ผมไป ฝนก็ทำท่าจะตก มีหมอกหนาปกคลุม เดินเล่นสบายเลยครับ 
           พอออกไปจากเขตหมู่บ้านจำลองนี้แล้วก็จะเป็นแหล่งชุมชนของชาวบ้านแล้วครับ น่าจะเป็นเชื้อสายจีนยูนนานนี่แหละ ถ้าเราไปเที่ยวที่นั่นสิ่งที่สำคัญที่สุดเราต้องให้เกียรติเจ้าของพื้นที่นะครับ ไม่ส่งเสียงเอะอะโวยสาย ทำตามป้ายเตือนต่าง ๆ เช่น บางพื้นที่ที่เขาห้ามเข้า เราก็ต้องปฏิบัติตาม อะไรแบบนี้ครับ 

 iSSAMEe
 28 ต.ค. 2563

วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2563

ป่าอนุรักษ์ไทรงาม น้ำฟ้าสะท้านหัวใจ - บ่อน้ำร้อนท่าปาย




          ป่าอนุรักษ์ไทรงาม อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน เป็นแหล่งท่องเที่ยวขนาดเล็ก และมีนักท่องเที่ยวไม่มากนัก เหมาะกับคนที่ชอบความเงียบสงบ และห่างไกลจากตัวเมืองปายไม่เท่าไร 
          ที่นี่ใครจะเข้าไปเที่ยวต้องเสียค่าเข้าคนละ 20 บาท วินาทีแรกที่เห็นคือ เครียดมาก 5555 อารมณ์แบบนี่ดั้นด้นมาทำไมกันวะ ??? ขออธิบายหน่อยละกันว่า ลักษณะคือจะเป็นแอ่งน้ำขนาดเล็ก มีชั้นหินลดหลั่น 2-3 ชั้นเตี้ย ๆ น่าจะออกแนวฝากชะลอน้ำมากกว่า เอาเป็นสรุปว่ามันไม่ได้มีอะไรน่าสนใจเลย ก็เลยแบบเดินเล่นไปมาในน้ำ ลืมบอกไปว่าน้ำจะอุ่น ๆ หน่อยนะครับ 
          เดินเล่นไปมา สักพัก เออ ลองเอากล้องถ่ายใต้น้ำหน่อย เท่านั้นแหละ เขร้ อย่างงาม น้ำข้างใต้เป็นสีฟ้าสวยงามมาก ๆ เสียดายสุด ๆ ที่ไม่ได้เอาเสื้อผ้าลงมาเปลี่ยน ไม่งั้นต้องได้ชอตภาพใต้น้ำแน่นอน 




           นอกจากป่าอนุรักษ์ไทรงามแล้ว ที่ปายยังมีบ่อน้ำร้อนท่าปาย ที่นี่เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง ที่นี่ถูกค้นพบหลังช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ได้รับการพัฒนาโดยชาวบ้านในพื้นที่ 

           การจะเข้าเยี่ยมชม ต้องเสียค่าเข้านะครับ แต่ถ้าใครจ่ายมาแล้วจากด่านอื่นของอุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง ก็ไม่ต้องจ่ายรอบสองแล้ว 
          บรรยากาศภายในค่อนข้างดีนะครับ มีป่าเขียวขจีให้เดินสัมผัส ตลอดทางเราจะเห็นทางน้ำร้อนไหลไปเอื่อย ๆ มีไอร้อนพุ่งขึ้นมาเป็นระยะ และถ้าเราขึ้นไปถึงจุดที่น้ำร้อนผุดขึ้นมาตรงนั้นกลิ่นกำมะถันจะแรงมาก และต้องใช้ความระวังในการเที่ยวชม เพราะน้ำร้อนในจุดนี้สูงถึง 80 องศาเลย 

iSSAMEe
26 ต.ค. 2563