วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2558

เ มื่ อ ฉั น เ กื อ บ ลื ม ไ ป ว่ า ม า เ ที่ ย ว เ พื่ อ อ ะ ไ ร ( เ ข า ห ลั ก พั ง ง า )
















ตลอดสามวัน ที่อยู่ที่เขาหลัก สิ่งที่ผมเจอคือ ฝน ฝน และ ฝน ความรู้สึกแรกเลย มันบอกว่า โคตรนอยว่ะ นั่งรถมาตั้งไกล มาเจอแบบนี้ ถ่ายรูปไมได้ แม่งไม่สวยๆ แสงไม่มี บลาๆๆ สุดแล้วแต่จะฟุ้งซ่านตลอดสองวันกว่าๆ ก็คิดแบบนี้ตลอด

ส่วนเรื่องเที่ยวน่ะเหรอ ฝนตกยังไงก็ต้องออกไปเที่ยวให้ได้ ถ้าฝนไม่ตกแรงจนเกินไป เราจะต้องขี่มอเตอร์ไซค์ฝ่าสายฝนออกไป ไกลสุดเห็นจะเป็นไปหาดท้ายเหมือง ห่างจากเขาหลักประมาณ 32 กิโลเมตร ก็ขี่ไปพักไปเนื่องจากสายฝนที่โปรยปรายลงมาเป็นระยะ

การมาเขาหลักครั้งแรกในชีวิต ผมได้เจอแสงแดดอยู่สองครั้ง ครั้งแรกคือที่หาดท้ายเหมือง ส่วนอีกครั้งคือ ก่อนขึ้นรถขากลับ รวมๆเวลาแล้วไม่น่าเกิน 3 ชั่วโมง จาก เกือบๆ 80 ชั่วโมง ที่ผมอยู่ที่เขาหลัก

ผมก็นอยตามประสาคนชอบถ่ายรูปลงเฟสอวดเพื่อนนั่นแหละครับ ว่ารูปต้องมาไม่สวยแน่เลย บลาๆๆ แต่แล้ว มันก็มีช่วงความคิดนึงครับ ที่มันฉุกคิดขึ้นมาว่า เห้ย วัตถุประสงค์การเที่ยวของเราคืออะไรวะ แล้วก็ลองตอบตัวเอง ตอนนั้น มันตอบว่า เรามาเพื่อเปิดหู เปิดตา มาได้ยิน ได้เห็น ได้ฟัง และได้ลอง สิ่งที่ไม่เคยมาก่อน ใช่แล้ว เมื่อผมได้มาถึงที่นี่ เราได้เห็น ได้ยิน ได้ฟัง ได้ลอง ทุกอย่างแล้ว นั่นคือคุ้มทุนแล้วนะ ความสวยงามต่างๆ เก็บไว้ด้วยสายตาและความทรงจำก็พอ

เมื่อคิดได้แบบนั้น ก็สบายใจและเลิกนอย ทำตัวให้เอนจอยกับสถานที่ท่องเที่ยว เสพความสุขทุกย่างก้าวบนแผ่นดินที่เราไม่คุ้นเคยน่าจะดีกว่า เรามาเที่ยว ไม่ได้มาถ่ายรูปอวดใคร อย่าหลงประเด็น

iSSAMEe
16-08-2558


วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2558

เ ข า ห ลั ก เ บ ย์ ฟ ร้ อ น ท์ รี ส อ ร์ ท พั ง ง า













ถ้าเป็นเมื่อก่อนนี้ คำว่า เขาหลัก ดูจะเป็นเรื่องที่ไกลตัวผมครับ เพราะบอกตรงๆว่าไม่รู้จะไปทำอะไร ถ้าไปก็ต้องออกเกาะ สิมิลัน ตาชัย ไม้ท่อน อะไรก็ว่าไปตามกำลังทรพย์และความชื่นชอบ ส่วนผมน่ะเหรอ วันเดย์ทริป 1800-2500 ผมว่าแพงไปสำหรับผม เลยรู้สึกว่าไม่ค่อยอยากจะไปนอนเขาหลักเท่าไร เพราะที่พักแถวนั้นก้น่าจะแพง

กระทั่งมา เมื่อประมาณสิงหาคมปีที่แล้วเห็นจะได้ ผมได้บัตรกำนัล สำหรับนอนโรงแรมที่เขาหลักสามวันสองคืนมา 1 ใบ แต่ด้วยทริปตลอดทั้งปีที่แล้วจนถึงปีนี้ แน่นขนัดไปหมด จนมีความคิดว่า ทิ้งมันไปเถอะ ไปก็ไม่รู้จะทำอะไร คงนอนเฉยๆ

แต่แล้วเมื่อถึงวันที่บัตรกำนัลใกล้หมดอายุ ผมมีอันต้องออกจางานอย่างกะทันหัน แล้วก็มองหางานใหม่ ทันทีที่ได้งานใหม่ ผมจะมีช่วงว่างเหลืออยู่ประมาณ 12 วัน เลยคิดว่าเอาล่ะ เราจะไปนอนเล่นที่เขาหลักแบบสงบเงียบ ชาร์จพลังสมองให้พร้อมสำหรับงานใหม่ จึงเริ่มถามหาเพื่อนที่จะไปด้วย สุดท้ายเพื่อนว่างช่วงวันที่ 5-8 สิงหาคมพอดี เราเลยเลือกที่จะไปช่วงนั้น ตอนนั้นคือว่าคงไปนอนเฉยๆ ไม่คิดอะไรมาก ก็เลยโทรจองโรงแรม และจองตั๋วรถทัวร์ ในช่วงวันที่ 3 สิงหาคม นับว่าเป็นทริปที่กะทันหันมากเพราะเราต้องออกเดินทางวันที่ 5 สิงหาคม

ทันทีที่เราถึงเขาหลัก สายฝนเมืองพังงาก็โปรยปรายทักทายผมอย่างไม่ขาดสาย เขาหลักเบย์ฟร้อนท์รีสอร์ท ต้อนรับผมอย่างเต็มที่ พร้อมจัดห้องพัก ในราคา 4500 บาทต่อคืนให้ผมได้พักอาศัย

บรรยากาศภายในรีสอร์ท ดูร่มรื่นจากต้นไม้ มากมาย ด้านหลังรีสอทร์ท ติดทะเล แม้ว่าคลื่นจะสูงกว่าหัวของผม แต่ถ้าแค่นอนเตียงผ้าใบหลับตาฟังเสียงคลื่น เท่านี้ก็สุขอย่างบอกไม่ถูกแล้ว นอกจากนี้โรงแรมก็ยังมีสระน้ำติดทะเล เรียกได้ว่าใครี่ชอบว่ายน้ำ น่าจะฟินกันเลยล่ะ


iSSAMEe
15 08 2558 

วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ส ง ข ล า ดิ น แ ด น ที่ ท ำ ฉั น ต้ อ ง ม น ต์ ม ห า เ ส น่ ห์ E P 3 ถ น น น า ง ง า ม ส ว ย ดุ จ น า ง ง า ม













          วันที่สองของการชมเมืองสงขลา ผมก็ยังคงใช้วิธีเดิน ในการสำรวจเมืองเก่าแห่งนี้ ระยะทางวันนี้ จากโรงแรมมายังถนนนางงาม ประมาณ 2.5 กิโล เห็นจะได้ คือเดินตัดจากฝั่งทะเลอ่าวไทยมายังฝั่งทะเลสาบสงขลานั่นเอง สำหรับคนต่างถิ่นอย่างผม ผมว่ามันชิลๆ เพราะทุกก้าวที่เดินไปข้างหน้ามันคือความแปลกใหม่ของนักเดินทางอย่างผม
          เดินมาเรื่อยๆ ก็ยังคงมีละอองฝนโปรยปรายลงมาเป็นระยะ แต่นั่นไม่ทำให้ผมย่อท้อ จนกระทั่งมาพบร้านก๋วยเตี๋ยวโกแบน อันเลื่องชื่อ ก็เป็นอันว่ารู้กันว่าใกล้จะถึงตัวถนนนางงามแล้ว ผมรู้สึกปลาบปลื้มเล็กน้อยที่ทำภารกิจเดินสำรวจเมืองได้สำเร็จอีกแล้ว พร้อมทั้งตั้งใจว่าถ้าถ่ายรูปเสร็จเมื่อไรจะกลับมาลองชิมก๋วยเตี๋ยวร้านโกแบนเสียหน่อย
          จุดที่ทุกคนเมื่อมาถนนนางงาม แล้วห้ามพลาดที่จะถ่ายรูปคือ รูปภาพร้านน้ำชาฟุเจา (ผมจำชื่อผิดเปล่าไม่รู้) ซึ่งหลายๆท่านอาจคิดว่านี่คือ street art เพียงแห่งเดียวในสงขลา จริงๆแล้ว คือ ไม่ใช่นะครับ มันมีสงแห่ง อีกแห่งหนึ่งอยู่ซอยย่อยแห่งหนึ่งในย่านนางงามนี่แหละ เป็นรูปสาวๆยุคโบราณกำลังเล่นอุปกรณ์สมัยใหม่ อย่างไอโฟน ไอแพดกันอย่างสนุกสนาน
          ตลอดสองข้างทางของถนนนางงาม ทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก มันไม่ได้ดูสวยงามอลังการอย่างที่คิด แต่ความเก่าแก่ท่ามกลางความเงียบสงบมันทำให้ผมรู้สึกว่าเออ เมืองนี้มันเจ๋งดีว่ะ ทุกอย่างรอบตัวมันดูมีคุณค่าไปหมด รู้สึกทำใจยากที่จะต้องจากออกมา
          เมื่ออิ่มใจกับบรรยากาศแล้ว แน่นอนว่าต้องมาอิ่มกายกับก๋วยเตี๋ยวโกแบนด้วย เดิมทีจะสั่งเส้นเล็ก แต่หมดครับ เลยต้องเลือกหมี่เหลืองแทน ได้มา 1 ชาม ราคา 50 บาท แอบแพง แม้จะเป็นพิเศษก็ฌถอะ จุดเด่น ของร้านนี้คือ เส้น จะลวกมาเปล่าๆ ส่วนเครื่องเคราอื่นๆทั้งหมดไม่ว่าจะลูกชิ้นต่างๆหรือกระดูกหมูต้มเปื่อยๆ จะถูกแยกมาในอีกชามพร้อมน้ำซุป ที่รสชาติอ่อนๆ ใครที่ชอบอาหารรสจัดหรือคุ้นเคยกับก๋วยเตี๋ยวเมืองกรุง อาจจะไม่ถูกปากนัก แต่มันก็ต้องกินแหละเนอะมาถึงบ้านเค้าแล้วนิ
          เสร็จจากภาระกิน เราก็เดินออกมาที่ถนนใหญ่ เพื่อหารถตุ๊กๆกลับ โรงแรม แต่โชคร้ายที่ฝนตกลงมาก่อนทำเอาผมเปียกไปทั้งตัว ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าอีดครั้ง ก่อนเข้าตัวเมืองหาดใหญ่ เพื่อขึ้นเครื่องบินกลับ กรุงเทพ นับว่าเป็นอีกทริปที่ทรหดสุดๆ และแน่นอนว่า เมื่อกลับมาถึงกรุงเทพได้สองวัน อาการป่วยก็ถามหาผมทันที แต่ถามว่าเข็ดไหม ?    ไม่เลย   มองว่า แม่งโคตรมัน สนุกสุดๆ แล้วเจอกันใหม่ท่ามกลางสายฝน ในทริปหน้า กับทริปเขาหลัก พังงาครับ

iSSAMEe
28-ส.ค.-2558

วันพุธที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ส ง ข ล า ดิ น แ ด น ที่ ท ำ ฉั น ต้ อ ง ม น ต์ ม ห า เ ส น่ ห์ E P 2 ส า ย ฝ น ที่ ห า ด ส มิ ห ล า







          ขอเล่าย้อนสักนิดก่อนที่จะขึ้นเขาตังกวน วันนั้นโชคดีที่ฝนตก อากาศเลยไม่ร้อน แต่โชคร้ายที่ฝนตก เลยถ่ายรูปยากเพราะแสงไมาสวย กล้องก็จะเปียก เสื้อผ้าก็เปียก ทุกอย่างเปียกหมด แต่ถ้าไม่ยอมเปียก เราก็จะไม่ได้เที่ยว ระยะทางเกือบพันกิโล ที่ผมเดินทางมาจากกรุงเทพ ก็จะเสียเปล่า ดังนั้นฝนมันอยากตกก็ปล่อยมันตกไป เราจะเที่ยว ไม่เกี่ยวกัน !!!
          จริงๆที่หาดสมิหลาไม่มีอะไรมาก เด่นสุดก็จะเป็นรูปปั้นนางเงือกที่ใครมาก็ต้องมาถ่ายรูปและจับนมนางเงือก จับกันจนนมมันแผล่บไปหมดละ ผมก็พยายามรอจังหวะที่คนน้อยๆแล้วค่อยถ่านรูปน้องเงือก ซึ่งก็ไม่ค่อยจะมีช่วงเวลาดังกล่าวเท่าไร นอกจากนั้นก็ยังมี รูปปั้นหนูกับแมว ที่สื่อถือเกาะหนูเกาะแมว ที่อยู่ฟากตรงข้ามกับหาดสมิหลา ส่วนกิจกรรมอื่นๆ ก็เช่นขี่ม้ากุบกับๆ เรื่อยเปื่อยริมทะเล ซึ่งผมเองรู้สึกสงสารม้ามากกว่าเพราะเหมือนมันจะเป็นม้าแคระ แต่คนขี่บางคนก็ไซส์เกินจะเยียวยาจริงๆ -_-"
           เสร็จจากหาดสมิหา หนำใจแล้วก็ไปเขาตังกวนตาม EP1 อ่ะแหละ เสร็จก็นั่งตุ๊กๆกลับแล้ว อีก สอง โล ขากลับเดินไม่ไหวแล้ว เก็บกล้ามเนื้อ เก็บแรง ไว้ใช้งานวันรุ่งขึ้นดีกว่า ยังมี "ถนนนางงาม ชุมชนเก่า ที่จะเล่าเรื่องเมืองสงขลาในอดีตให้เราฟัง" รออ่านต่อใน EP3 นะครับ ^^

iSSAMEe
13-ส.ค.-2558

ส ง ข ล า ดิ น แ ด น ที่ ท ำ ฉั น ต้ อ ง ม น ต์ ม ห า เ ส น่ ห์ E P 1 เ ข า ตั ง ก ว น








       
                 สงขลา ทริปนี้เกิดขึ้นเพราะความบ้าระห่ำของผม เกี่ยวกับการจองตั๋วเครื่องบินครับ (จริงๆแล้วก็ระห่ำทุกทริป) คือเรื่องของเรื่องมันดันมีตั๋วไปกลับกรุงเทพ หาดใหญ่ อยู่ในมือไง ก็เลยเกิดอาการว้าวุ่นว่า ฉันต้องออกเดินทางอีกแล้ว ทีนี้ ก็นั่งครีเอทว่า ในรูทหาดใหญ่นี้ เราจะวางเส้นทางท่องเที่ยวยังไง กับ 2 วัน 1 คืน ตอนแรกวางแผนไว้เยอะเหมือนกัน
ไม่ว่าจะเป็น ไปกินข้าวแกงสถานีรถไฟเทพา หรือ จะนั่งรถไฟเล่นลงสถานีปาดังเบซาร์ หรือบางความคิด อาจหาญถึงว่า หรือ จะไปนอนปีนังดี แต่สุดท้าย ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ แพ้โค้งสุดท้ายให้กับ กิน นอน ดูทะเล ที่หาดชลาทัศน์ จังหวัดสงขลา ซึ่งคราวนี้เราเลือกนอน โรงแรมที่มีราคาซักหน่อย คือ 1500 บาท ฮ่าๆๆๆ แค่นี้ก็แพงสำหรับผมแล้ว แต่โดยรวมก็คุ้มราคาอยู่ ห้องกว้างขวาง สระน้ำพร้อม ติดทะเล อาหารเช้าอร่อย
                  เอาล่ะกลับมาเข้าเรื่องดีกว่า คือ พอมาถึงสงขลา เข้า โรงแรมปุ๊บ สายฝนก็เทลงมาอย่างไม่ปราณี ทำเอาผมคิดหนักว่า หรือเราจะมาเสียเที่ยวซะแล้ว แต่ไม่เป็นไร อยู่ใต้ฟ้า อย่ากลัวฝน ดังนั้นทันทีที่สายฝนเริ่มซา แม้จะยังไม่หยุด ผมจึงเริ่มออกเดินจากโรงแรม เพื่อไปยังหาดสมิหลาทันที ด้วยระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร มุ่งหน้าทิศเหนือ เดินเลียบชายหาดไป ยังไงก็ไม่หลงครับ ตลอดสองข้างทางจะเห็นพี่น้องชาวมุสลิมมาปิคนิค ทานอาหารริมหาดกันมากมาย เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงเทศกาลรายอพอดี
                  ตลอดสองกิโลเมตร ผมก็เดินตากฝนไปเรื่อยๆ ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ ด้วยกล้องตัวนั้นที ตัวนี้ที แม้จะดูเหมือนคนบ้า ที่เดินถ่ายรูปตากฝน แต่ผมก็มีความสุขที่ได้ปลดตัวเองออกจากกรอบเดิมๆ ได้ทำอะไรที่อยากทำ โดยที่ไม่มีใครมาบังคับหรือไม่เห็นด้วย จนในที่สุดผมก็พิชิตระยะทางสองกิโลเมตรได้ มาถึงนางเงิือก (เดี๋ยวจะมาเล่าทีหลัง)
                  หลังจากเที่ยวหาดสมิหลา จับนมนางเงือกเสร็จ ผมก็ให้รถตุ๊กๆไปส่งที่ตีนเขาตังกวน ในราคา 20 บาท คือแม่งโคตรดีใจ เสียเงิน 20 บาท เอง ไม่รู้คนท้องถิ่นเสึียถูกกว่านี้เปล่า แต่ผมพอใจกับ 20 บาทละล่ะ เมื่อมาถึงเขาตังกวน ก็จ่ายเงิน 20 บาท ค่าขึ้นลิฟท์ไปยังด้านบน สองข้างทาง มีลิงเจ้าถิ่นคอยผงกหัว โบกมือต้อนรับนักท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็เป็นคนท้องถิ่นภาคใต้ คนภาคกลางแบบผมแล้วก็คนต่างชาติ
                  ที่ดานบนเขาตังกวน จะมีพระพุทธรูป ขออภัยที่ไม่ได้จดมาว่า คือ พระพุทธรูป หรือ รูปหล่อ เกจิอาจารย์องค์ไหน แต่ ที่แน่ๆ จะมีแบ่งเป็นสองฝั่ง คือ ฝั่งวิวทะเล และ วิวเมืองสงขลา ที่จะเป็นทะเลอ่าวไทย และ ทะเลสาบสงขลา โอบล้อมเมืองสงขลาอยู่ เป็นภาพที่สวยงามมากๆ โอกาสน้อยมากสำหรับผมที่จะได้มาเห็นแบบนี้
                  เดิม เขาตังกวนไม่ได้อยู่ในแพลนเที่ยวของผมครับ แต่ด้วยการเที่ยวครั้งนี้ ต้องการให้แพลนยืดหยุ่นมากที่สุด ดังนั้น ถ้าพอมีเวลาเหลือ จึงถือว่าเป็นโอกาสอันดี ที่จะได้เปิดหูเปิดตา ได้พบ ได้เจอ ได้ยิน สิ่งที่ยังไม่เคยพบ ไม่เคยเจอ ไม่เคยได้ยิน ในทางกลับกัน วันนั้น ผมคงเสียใจมาก ถ้าไม่ได้ขึ้น "เขาตังกวน หลังคาแห่งเมืองสงขลา"


iSSAMEe
12 ส.ค. 2558