วันพฤหัสบดีที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2557

จากนครพิงค์เชียงใหม่ถึงหริภุญชัยลำพูน ลานบุญนครล้านนา ตอน เสียงดนตรีจากล้อเหล็ก




นั่นแน่!....จองอีกแล้วซิ เสียงของเพื่อนคนนึงทักมา ผมยิ้มแบบเขินๆ แล้วนึกในใจ มันรู้ได้ไงวะ ว่าเราไปจองตั๋วเครื่องบินมา ฮ่าๆๆ พร้อมกับบอกไปแก้เขินว่า อ้อ อยากไปเล่นน้ำสงกรานต์ที่เชียงใหม่น่ะ พอดีมันมีโปรถูก(แต่ก็แพงถ้าเทียบกับโลว์คอส) อยากเล่นน้ำที่เชียงใหม่ดู ว่าไปนั่น จริงๆในใจคืออยากนั่งเครื่องบินเล่นมากกว่า
 


คราวนี้ซิครับ ปัญหามา ได้ตั๋วกลัวแล้วตั๋วไปยังไม่มี ก็กะว่าเออ จะนั่งรถไฟไป แต่การสำรองที่นั่งรถไฟสำหรับเดินทางช่วงเทศกาลนั้น เป็นอะไรที่ยากมากถึงมากที่สุด เพราะเค้าจะเริ่มเปิดจองตอน 08.30 ของวันที่ 10 กุมภาพันธ์ (ล่วงหน้า 60 วันสำหรับการเดินทางในวันที่ 11 เมษายน) ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่อยากพลาดโอกาสเลยไปรอตั้งแต่ 08.10 น. พอ 8.30 พนักงานก็ยังไม่เรียกให้จองตั๋ว นั่งกดอะไรบางอย่างต๊อกแต๊กๆ ... สุดท้ายมารู้ทีหลังว่าที่นั่งกดๆน่ะ คือกดจองตั๋วให้พวกที่เค้ามาอยู่ก่อนแล้ววว แต่เราไม่รู้งาน เลยไมได้ไปบอกพนักงานไว้ โอเค ตอนนั้นคิดในใจว่าไม่เป็นไร ยังไงเราต้องจองให้ได้ ก็เลยเดินไปอย่างมั่นใจ บอกพนักงานว่า เชียงใหม่ครับ วันที่ 11 เมษา คุณพนักงานตอบกลับมาว่า “เต็มครับ” ตอนนั้น 8.40 น. เห็นจะได้ ผมนี่ หน้าชา บอกเค้าว่า ขบวน 9(สปริ๊นเตอร์) นะครับ ดูให้หน่อย ไม่งั้นก็ 109(รถนอนพัดลม) ก็ได้ พนักงานยังยืนยันว่าเต็มครับ ผมก็เริ่มขึ้น บอกลองดูก่อนได้มั้ยครับ  คุณพนักงานก็เลยกดต๊อกแต๊กๆให้ผมอีก แล้วบอกว่าโอเค 9 ว่างครับ ผมรีบบอกอย่างไมไรอช้า ขอริมหน้าต่างครับ แล้วก็ได้ริมหน้าต่างสมใจ สรุปคือมันเต็มยังไงเนี่ย ที่นั่งก็มีแถมเลือกได้อีกต่างหาก ตอนนี้ก็สบายใจแล้ว ได้ทั้งตั๋วไปกลับ เจอกันแน่ๆ สงกรานต์เชียงใหม่





11 เมษายน 2557
วันเดินทางก็มาถึง วันนี้แต่งตัวออกจากบ้านตั้งแต่ 7.30 บอกวิน ให้มาส่งที่บางซื่อ ในราคา 80 บาท นั่งเล่น นั่งรอรถไฟอยู่นาน ทางสถานีบอกว่ารถจะมาถึงประมาณ เกือบๆ 9 โมง (ปกติ 8.48) ก็โอเค ไม่นานมากนัก มาถึงผมก็ขึ้นบนรถ จัดหาที่นั่งเรียบร้อย รถเคลื่อนออกจากสถานีบางซื่อ 1 ไปได้เพียง 50 เมตร ก็จอดสงบนิ่งที่บางซื่อ 2 อีกซักพัก จนผมเริ่มสงสัยว่าเอ๊ะ !
จอดทำไม? หรือจะรอทางขบวน 84 ที่กำลังสวนมา ก็ไม่น่าใช่ เพราะ 84 เข้ามาแล้ว ก็ยังไม่ปล่อยขบวนเราออกไปซะที จนกระทั่งขบวน 42 จากยะลาเข้ามาอีก เราก็อ๋อได้ทันที ว่า ที่แท้ก็กำลังรอ ผู้โดยสารจากขบวน 42 มาต่อขบวน 9 นั่นเอง จากนั้นรถของเราก็ยิงยาวถึงพิษณุโลกเลยครับ ระหว่างทางก็จอดสถานีใหญ่ๆเช่น อยุธยา ลพบุรี นครสวรรค์ ตะพานหิน อะไรแบบนี้และก็มีบริการของว่างและอาหารฟรี(รวมไปในค่าโดยสารแล้ว 641 บาทถึงเชียงใหม่) ที่สถานีพิษณุโลก ขบวนรถจะเปลี่ยนพนักงานขับรถที่นี่ พร้อมทั้งเติมน้ำสำหรับใช้ในห้องน้ำอีกด้วย และยังถือว่าที่นี่คือประตูสู่ภาคเหนือ และแน่นอนว่าเมื่อผ่านที่นี่ผมต้องน้อมจิต อธิษฐาน ถึงพระพุทธชินราช ที่ผมนับถือมากๆ อีกด้วย        


ออกจากพิษณุโลก ขบวนรถก็ปุเรงๆ มาด้วยความเร็วตามปกติ น่าจะซัก 85-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงนี่แหละ ระหว่างทางผมก็ดูนั่นนี่ไปตามประสา หลับไม่ค่อยลงหรอกครับ อีพวกชอบรถไฟเนี่ย ไม่เคยมีใครหลับหรอก อะเลิทตลอด จนมาถึงสถานีอุตรดิตถ์ ที่นี่คนลงเยอะครับ ร้อยละ 30 ของที่นั่งมาตั้งแต่แรกจะลงที่นี่ครับ ลงไปรถก็โล่งอยู่ แต่สิ่งที่ผมกลัวก็เกิดที่นี่แหละครับ เมื่อพนักงานขับรถนำหัวรถจักรเข้ามาพ่วงกับขบวน 9 ผมรู้ได้โดยทันที ว่าอย่างเก่งรถวิ่งได้เร็วไม่เกิน 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมงแน่ๆ เพราะปกติแล้วรถดีเซลรางถ้าวิ่งเองจะได้ถึง 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่นี่เอาหัวลากมาลาก ซึ่งหัวลากจะได้มากที่สุดแค่ 90 เท่านั้น ตอนนี้ทำใจแล้วว่า ช้าบานนนน แน่ๆ แล้วก็ช้าจริงๆ
  เมื่อรถออกจากอุตรดิตถ์ ก็จอดมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ศิลาอาสน์ เด่นชัย บ้านปิน สองข้างทางเริ่มสวยงามขึ้นเรื่อยๆ เริ่มมีการลอดอุโมงค์มากมาย และช่วงที่สวยงามที่สุดคือช่วง เด่นชัย  บ้านปินนี่แหละครับ เพราะขบวนรถจะวิ่งผ่านแก่งหลวง ถ้าเป็นช่วงหน้าฝน เก่งหลวงจะมากมายไปด้วยสายน้ำอันเชี่ยวกราด ส่วนหน้าร้อนแบบนี้ความสวยงามหาได้จากโขดหินน้อยใหญ่ เรียงราย ท่ามกลางสายน้ำที่ไหลเอื่อยๆ และเยือกเย็นเทียบเคียงได้กับชาวล้านนาก็ไม่ผิดนัก ทำให้ผมรู้สึกว่าพี่น้องชาวเหนือกำลังออกมาต้อนรับผมอยู่นั่นเอง
                                                



นั่งไปนั่งมา ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีจากสีฟ้าสว่างกลายเป็นสีเหลืองทอง ก่อนจะแปลงเป็นสีส้มไปในที่สุด ผมว่าช่วงเวลาแบบนี้เป็นช่วงที่นั่งรถไฟอย่างมีความสุขที่สุดแล้ว เพราะไม่ร้อนอบอ้าว แถมยังมีแสงสีสวยๆตกลงมาสะท้อนให้เราได้มีโอกาสถ่ายรูปได้แสงที่สวยงามอีก แต่ก็แอบหดหู่อยู่เล็กๆว่าอีกไม่กี่นาทีหลังจากนี้ท้องฟ้าจะมืดจนมองไม่เห็นอะไรอีกแล้ว กว่าจะหลุดจากอาการหดหู่นี้ได้ ผู้โดยสารก็ลงจากรถจนแทบจะเกลี้ยงที่สถานีบ้านปิน สาเหตุที่คนลงที่นี่ค่อนข้างเยอะเพราะ สถานีบ้านปินอยู่ในเขอำเภอลอง จ.แพร่ ซึ่งเป็นอำเภอที่มีเพียงรถไฟเท่านั้นที่เข้าถึงพื้นที่ได้สะดวกที่สุด ดังนั้นรถไฟสายเหนือทุกขบวนจะจอดรับส่งผู้โดยสารที่สถานีบ้านปินแห่งนี้ครับ และหลังจากนี้ขบวนรถก็เริ่มเข้าเขตจังหวัดลำปางพอดี ...





เมื่อรถวิ่งมาถึงสถานีรถไฟนครลำปาง ตอนนี้ฟ้ามืดสนิทแล้วครับ แต่ยังพอเห็นบรรยากาศภายนอกอยู่บ้าง จากแสงของฟ้าที่แลบ และผ่าลงมาเป็นระยะๆ ถึงตอนนี้สายฝนที่หลงฤดูเริ่มโปรยปรายลงมาอย่างหนักหน่วง มากพอที่จะทำให้ผมรู้สึกหนาวได้ รู้อย่างนี้เชื่อเพื่อนตั้งแต่แรกแล้วว่าให้เตรียมแขนยาวมานะเพราะบนรถหนาวมาก และเราสวนทางกับรถด่วนพิเศษนครพิงค์                 เที่ยวล่องกรุงเทพนี่ที่พอดี กว่าจะถึงกรุงเทพน่าจะราวๆ 7 โมงเช้าได้มั้ง 

ถึงตอนนี้ เพื่อนเริ่มโทรหาผมแล้วครับว่าถึงไหนแล้ว และข้างนอกมืดมากๆจนผมมองไม่เห็นอะไร เพราะทางรถไฟจะวิ่งอยู่ในป่าตลอดทั้งเส้นทาง เว้นแต่ว่าผ่านสถานีไหนผมก็จะอาศัยมองว่าถึงสถานีไหนแล้ว ช่วงที่ผ่านสถานีแม่ตานแล้วนี่ถ้าเป็นกลางวันทางจะสวยมากเพราะเป็นจุดที่รถจะปืนยอดดอยขุนตานอันเป็นรอยต่อระหว่างจังหวัดลำปาง และจังหวัดลำพูนพอดี ผมก็นั่งมา กว่าจะรู้ตัวว่ารถผ่านอุโมงค์ขุนตาน ก็ตอนที่ผมเห็นตัวอาคารสถานีขุนตานนั่นเอง ซึ่งนั่นก็หมายความว่าเราได้ผ่านอุโมงค์รถไฟที่ยาวที่สุดในประเทศไทยมาแล้ว ...










 



...นับจากนี้อีกไม่กี่นาที ผมก็เดินทางถึงสถานีลำพูน อันเป็นจุดนัดหมายที่ผมให้เพื่อนมารับ ตอนนี้บนขบวนรถเหลือผู้โดยสารอยู่เพียงไม่กี่ท่าน น้อยคนครับที่จะนั่งรถไฟสปริ๊นเตอร์ยาวๆกันจนถึงเชียงใหม่ ตอนนี้สมองของผมต้องเริ่มทำงานอีกครั้งนั่นก็คือ เก็บความทรงจำที่ดีบนรถไฟขบวนนี้ เพราะเราจะต้องลงจากรถขบวนนี้แล้ว และอีกเมื่อไรไม่รู้ที่ผมจะได้นั่งรถไฟเป็นระยะทางยาวๆแบบนี้อีก ขอบคุณนะรถไฟ ที่พาผมมาส่งโดยปลอดภัย ขอบคุณนะรถไฟ ที่มีเสียงเอี๋ยดอ๊าดตลอดทาง เหมือนเป็นการขับกล่อมให้คนขี้เหงาอย่างผม ได้มีเพื่อนที่แสนดีตลอดการเดินทาง ^^

iSSAMEe
18 / 04 / 2014


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น